วันคริสต์มาส คือ วันสำคัญยังไง

วันคริสต์มาส คือ การเฉลิมฉลองการประสูติของ พระเยซูคริสต์ ผู้เผยพระวจนะสูงสุดของคริสเตียนทั่วโลก เป็นวันสำคัญที่ต้องเฉลิมฉลอง และมีความหมายมากที่สุดวันหนึ่งเพราะชาวคริสต์ถือว่าพระเยซูไม่ใช่แค่มนุษย์ธรรมดา ประสูติเหมือนเด็กทั่วไป แต่พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด และมีธรรมชาติเป็นพระเจ้าและมีความเป็นมนุษย์ในพระองค์เอง การมาเกิด จึงเป็นเหตุการณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร

วันคริสต์มาสหรือวันสมโภชพระคริสตสมภพ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู เป็นวันหยุดทางศาสนา มีวัฒนธรรมของผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลกที่เฉลิมฉลองในวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งวันนี้จะมุ่งเน้นไปที่ปีพิธีกรรมของคริสต์ศาสนิกชน วันคริสต์มาสเป็นวันปิดทำการสำหรับการเตรียมการสำหรับการจุติและการเริ่มเทศกาลฉลองพระคริสตสมภพ เทศกาลคริสต์มาสกินเวลา 12 วัน และวันคริสต์มาสเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศ ประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนที่หันมาเฉลิมฉลองกันมากขึ้น

วันคริสต์มาส คือ อะไร มีความสำคัญอย่างไร

วันคริสต์มาส คือ  วันที่สำคัญที่สุดวันหนึ่งในศาสนาคริสต์ ไม่ใช่วันสำคัญของการจัดงาน เฉลิมฉลองเฉพาะภายนอกซึ่งเป็นเพียงชั้นนอกของการเฉลิมฉลองคริสต์มาส แต่แก่นแท้อยู่ที่ความรัก ของเทพเจ้ามายังโลกมนุษย์ กล่าวคือ พระเจ้าทรงรักมนุษย์มากถึงกับส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ มีพระนามว่า “เยซู” พระเยซูคริสต์

ความถ่อมใจและเกียรติของพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาสของความชั่วร้ายและบาปนั่นเอง ดังนั้น ความสำคัญของคริสต์มาสจึงเป็นการเฉลิมฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อโลกมนุษย์ อย่างจริงจังและเห็นตัวเองในการกลับชาติมาเกิดของพระเยซูคริสต์ มากกว่าสิ่งอื่นใด

แม้แต่คริสต์มาสก็จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู แต่ในพระคัมภีร์ไม่มีบันทึกว่าตรงกับวันใด ชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูประสูติที่เมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย ในรัชสมัยของจักรพรรดิออกุสตุสแห่งโรม วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ของชาวโรมัน แต่ชาวคริสต์ในจักรวรรดิโรมันถือว่าพระเยซูเป็นผู้อยู่เหนือความตาย และเป็นผู้เผยพระวจนะสูงสุดที่พวกเขาเคารพบูชา จึงเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูในวันนั้นแทน โดยบันทึกว่า วันคริสต์มาสอย่างเป็นทางการครั้งแรกมีขึ้นในปี ค.ศ. 336 จากนั้นวันคริสต์มาสจึงตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี

วันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญในศาสนาคริสต์ ไม่ใช่วันสำคัญทางร่างกาย หรือจัดงานเลี้ยงฉลองซึ่งเป็นเพียงพื้นผิวของการฉลองคริสต์มาส แต่แก่นแท้ของคริสต์มาสอยู่ที่ความรักที่พระเจ้ามีต่อโลกมนุษย์ หมายความว่าพระเจ้ารักมนุษย์มากจนส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ที่มีเนื้อหนังชื่อว่าพระเยซู การที่พระเจ้าถ่อมตนและให้เกียรติตนมาเกิดเป็นมนุษย์ นั่นคือการช่วยมนุษย์ให้พ้นจากการเป็นทาสของความชั่วร้ายและบาปต่างๆ ดังนั้นความสำคัญของคริสต์มาสจึงอยู่ที่การเฉลิมฉลองความรักของพระเจ้าที่มีต่อโลกมนุษย์อย่างจริงจัง และเห็นตัวเองในร่างมนุษย์ของพระเยซูคริสต์มากกว่าสิ่งอื่นใด

ประวัติคริสต์มาส

คริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองการประสูติของ พระเยซูคริสต์ เราเฉลิมฉลองในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า Christmas เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่าบูชามิสซาของพระคริสต์ เนื่องจากการเข้าร่วมพิธีมิสซาเป็นประเพณีที่สำคัญที่สุดสำหรับคริสตชน ถือปฏิบัติคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสารโบราณ ในภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า Christmas คำอวยพรที่เราได้ยินกันบ่อยในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า ความสงบและความสงบของจิตใจ Merry Christmas เป็นคำที่ใช้อวยพรให้ใครสักคนมีความสงบสุข ในภาษาไทยใช้อวยพรด้วยสำนวนว่า Merry Christmas. Merry Christmas.

วันคริสต์มาสอีฟ (คริสต์มาสอีฟ) ตรงกับวันที่ 24 ธันวาคมของทุกปี หรือก่อนวันคริสต์มาสเพียง 1 วัน เพราะตามธรรมเนียมของชาวคริสต์คริสต์มาสจะเริ่มขึ้นในเย็นวันคริสต์มาสอีฟ เด็ก ๆ แขวนถุงเท้าไว้หน้าเตาผิงเพื่อรอของขวัญจากซานตาคลอส ในตอนเช้าซึ่งเป็นวันคริสต์มาส สมาชิกในครอบครัวจะรวมตัวกัน ทำกิจกรรมและรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน เมนูอาหารที่ขาดไม่ได้คือ ไก่งวง และเครื่องดื่มประเภทต่างๆ

ประวัติซานตาคลอส ชายแก่ใจดีที่เด็กทั่วโลกรอคอย

ภาพของชายชราอ้วนสวมสูทสีแดงมีหนวดเคราสีขาว มาพร้อมรถลากเลื่อนและกวางเรนเดียร์จมูกแดง หรือที่เรียกว่า “ซานตาคลอส” กลายเป็นอีกหนึ่งภาพลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งจริงๆ แล้วซานตาคลอสมีต้นแบบมาจาก “ นักบุญนิโคลัส ” นักบวชชาวตุรกีซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้มีจิตใจดี ต่อมาชาวฮอลแลนด์เรียกนักบุญผู้นี้ว่า “ซินเตอร์คลาส” และชาวอเมริกันเรียกเพี้ยนเป็น “ซานตาคลอส” ซึ่งนิยมเรียกกันทั่วโลกจวบจนปัจจุบัน

มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อนักบุญนิโคลัสยังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยขึ้นไปบนปล่องไฟเพื่อมอบเหรียญเงินเป็นของขวัญให้กับบ้านของเด็กหญิงที่ยากจน แต่เหรียญเงินตกลงในถุงเท้าที่แขวนอยู่หน้าเตาผิง จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เด็กๆ แขวนถุงเท้าไว้หน้าเตาผิงเพื่อรอรับของขวัญจากซานต้าในวันคริสต์มาส กลายเป็นตำนานกำเนิดซานตาคลอส และถุงเท้าแบบแขวน

คุณรู้หรือไม่ว่าภาพต้นฉบับของ “ซานตาคลอส” ไม่ใช่ชายในชุดแดงอย่างที่เข้าใจ แต่ในช่วงทศวรรษที่ 1930 บริษัทโคคา-โคลาได้วาดโฆษณาเกี่ยวกับซานตาคลอสและคริสต์มาส ด้วยการสวมชุดสีแดงเหมือนสีของแบรนด์ กลายเป็นที่มาของภาพว่าซานตาคลอสเป็นชายชราสวมชุดสีแดง

ซานตาคลอสตัวจริงคือ นักบุญนิโคลัส  บาทหลวงในตุรกี คริสต์ศตวรรษที่ 4 ขึ้นชื่อเรื่องความใจดีโดยเฉพาะกับเด็ก ต่อมาเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วฮอลแลนด์ว่า “ซินเตอร์คลาส” ราวปี พ.ศ. 2413 ชาวอเมริกันเรียกเพี้ยนๆ ว่า “ซานตาคลอส” ตั้งแต่ต้นจนถึง พ.ศ. 1890

ภาพของซานตาคลอสเป็นชายรูปร่างผอมสูงสวมชุดสีเขียว หรือน้ำตาลแดง. Jenny Nistrom ศิลปินชาวสวีเดน เขาประดิษฐ์รูปลักษณ์ของซานตาคลอสอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ด้วยการวาดภาพบนการ์ดคริสต์มาส ภาพเหล่านี้เป็นที่นิยมทั่วโลก เมื่อชาวสวีเดนอีกคน Haddon Sandblom นำภาพวาดของ Nistrom เป็นสีขาว

ต้นคริสต์มาส คือต้นอะไรกันแน่?

สัญลักษณ์ที่ขาดไม่ได้ในวันที่ 25 ธันวาคม คือ “ต้นคริสต์มาส” ที่ทำจากต้นสน เพราะเป็นต้นไม้ที่หาง่ายในยุโรปและอเมริกา. นิยมประดับด้วยกล่องของขวัญและถุงเท้า พร้อมกับประดับไฟด้วยสีสันสวยงาม แต่จริงๆ แล้วชาวคริสต์ในสมัยโบราณเชื่อว่าต้นคริสต์มาสคือ The tree in Paradise ที่อาดัมและเอวาได้กินผลของมัน

ปัจจุบันมีการนำต้นไม้ชนิดต่างๆ ตกแต่งเป็นต้นคริสต์มาส เช่น ต้นฮอลลี่ ซึ่งมีใบสีเขียวคล้ายหนามและผลไม้สีแดงสด หมายถึงมงกุฏหนามและหยาดพระโลหิตของพระเยซู นอกจากนี้ ยังมีต้นพอยน์เซ็ตเทีย (Poinsettia) ที่หลายคนเรียกว่าต้นคริสต์มาส มีใบสีแดงสดสวยงาม โดยมีประวัติว่ามีเด็กหญิงยากจนต้องการมอบของขวัญแด่พระแม่มารี แต่ไม่มีเงินซื้อของขวัญ นางฟ้าจึงมาปรากฏตัวและมอบเมล็ดพันธุ์ให้เธอ เมื่อนำไปปลูกก็กลายเป็นต้น Poinsettia ทำให้ได้ชื่อว่าต้นคริสต์มาส

การร้องเพลงคริสต์มาส

เพลงคริสต์มาสที่เราร้องกันทุกวันนี้ส่วนใหญ่แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศอังกฤษ เพลงที่มีเสียงมาก ได้แก่ Silent Night , Holy Night ในภาษาไทย “ราตรีสวัสดิ์คืนศักดิ์สิทธิ์”

ที่มาของเพลงนี้คือวันคริสต์มาสอีฟ ปี 1818 คุณพ่อ Joseph Mohr เจ้าอาวาสแห่ง Oberndorf ประเทศออสเตรเลีย ฉันได้ยินว่าออร์แกนในวิหารหัก ทำให้วงดนตรีไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมได้ คุณพ่อเองก็ตั้งใจจะแต่งเพลงคริสต์มาส หลังจากเรียบเรียงเสร็จแล้วได้มอบให้เพื่อนชื่อ Franz Gruber ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงเป็นผู้แต่งทำนองในคืนวันที่ 24 พระภิกษุที่อยู่ใกล้เคียงได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรกโดยเล่นกีตาร์คลอ ที่กลายเป็นเพลงฮิตไปทั่วโลก

เทียนและพวงมาลัย

ในอดีตมีคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมนี ทำวงกลมเหมือนพวงมาลัยจากกิ่งไม้และวางเทียน 4 เล่มบนพวงมาลัยในคืนวันอาทิตย์แรกของเทศกาลจุติ ทั้งครอบครัวมารวมตัวกัน ดับไฟ จุดเทียน สวดมนต์ สวดมนต์ และร้องเพลงสรรเสริญ เขาจะทำเช่นนี้ทุกสัปดาห์จนถึง 4 สัปดาห์ก่อนวันคริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยมและแพร่หลายไปในที่ต่างๆ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งต่อมามีการเพิ่มเติมโดยเอาพวงมาลัยที่มีแสงเทียนตรงกลางหนังสือ 1 เล่มมาแขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วยให้คนที่ผ่านไปมาระลึกถึงเพื่อเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้จะมาถึง และพวงมาลัย ยังเป็นสัญลักษณ์ที่คนในสมัยโบราณนั้น ใช้เพื่อหมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงจุติลงมาในโลก และทำทุกสิ่งให้สำเร็จลุล่วงตามแผนการของพระเจ้า

การทำมิสซาเที่ยงคืน

เมื่อ Pope Julius I ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคม วันคริสต์มาส คือ วันฉลองการประสูติของพระคริสต์ (วันคริสต์มาส) พระเยซูคริสต์ และในปีนั้นเองท่านและผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมกันเดินภาวนา และร้องเพลงไปที่เบธเลเฮมถึงถ้ำที่พระเยซูประสูติ
เมื่อไปถึงเป็นเวลาเที่ยงคืน พระสันตะปาปาได้ถวายเครื่องบูชาที่นั่น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับที่พัก เวลาเช้าประมาณ 03.00 น. ได้มีการถวายมิสซาอีกครั้ง และสัตบุรุษก็กลับมา แต่ก็ยังมีสัตบุรุษจำนวนมากที่ไม่ได้ไป สมเด็จพระสันตะปาปาทรงประกอบพิธีมิสซาอีกครั้งเป็นครั้งที่สามสำหรับสัตบุรุษ ด้วยเหตุนี้ พระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตให้นักบวชประกอบพิธีมิสซาสามครั้งในวันคริสต์มาส เช่นเดียวกับการปฏิบัติของเขา ตั้งแต่นั้นมาก็มีประเพณีมิสซาเที่ยงคืนในวันคริสต์มาส และนักบวชก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซาในโอกาสคริสต์มาสเช่นกัน